หากย้อนไปเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว
คอมพิวเตอร์เครื่องแรกกำเนิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย
ต่อมาคอมพิวเตอร์ก็มีบทบาทสร้างสรรค์สังคมมนุษย์เข้ามาช่วยเหลืองานต่าง
ๆ ของมนุษย์มากมาย
จินตนาการการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีมานานแล้ว
โดยเฉพาะในนิยายวิทยาศาสตร์
ผู้เขียนนิยายวิทยาศาสตร์หลายท่านได้สร้างจินตนาการให้เห็นระบบสื่อสารที่ทรงพลัง
โดยมีคอมพิวเตอร์ช่วยเป็นสื่อในการรับส่งข้อมูลระหว่างกัน
จุดเริ่มต้นของเครือข่ายคอมพิวเตอร์เริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม
ค.ศ. 1962 Licklider แห่งมหาวิทยาลัย MIT
ได้บันทึกแนวคิดเกี่ยวกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ชื่อ
Galactic Network
โดยแสดงจินตนาการให้เห็นหลักการของเครือข่ายทางวิชาการ
พร้อมทั้งประโยชน์ที่จะใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในการพูดคุย
สื่อสาร อภิปราย ส่งข่าวระหว่างกัน
และเชื่อมโยงกันทั่วโลก
ต่อมา Licklider
ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมงานวิจัยตามความต้องการของกระทรวงกลาโหม
อเมริกัน
ในโครงการที่ชื่อ DARPA
ร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอีกหลายคน
PACKET
SWITCHING EMERGED
ความคิดในช่วงแรกของการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์อาศัยหลักการพื้นฐานทางด้านการสวิตชิ่งของระบบโทรศัพท์
การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ให้เชื่อมต่อกันในวงจรระหว่างจุดไปจุด
จึงเรียกว่า "การสวิตช์วงจร" (Circuit Switching)
จุดอ่อนของการสวิตช์วงจรที่เชื่อมระหว่างสองจุด
ทำให้ใช้ข้อมูล
ข่าวสารในเครือข่ายไม่เต็มประสิทธิภาพ
และมีข้อยุ่งยากหากต้องการสื่อสารกันเป็นจำนวนมาก
Leonard Kleinrock
แห่งมหาวิทยาลัย MIT
ได้เสนอแนวคิดในการสร้างเครือข่ายให้มีการรับส่ง
ข้อมูลเป็นแพ็กเก็ต
(Packet)
โดยได้เสนอบทความในวารสารตั้งแต่เดือนกรกฎาคม
ปี ค.ศ. 1961 ต่อมาได้พิมพ์เป็นเล่มในปี
ค.ศ. 1964
และเป็นหลักการที่ได้รับการยอมรับและนำมาใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์จนถึงปัจจุบัน
การสื่อสารบนเครือข่ายแบบแพ็กเก็ต
(Packet)
เป็นวิธีการที่ให้ผู้ส่งข่าวสารแบ่งแยกข่าวสารเป็นชิ้นเล็ก
ๆ บรรจุเป็นกลุ่มข้อมูล
โดยมีการกำหนดแอดเดรสปลายทางที่จะส่งข่าวสาร
หลังจากนั้นระบบจะนำแพ็กเก็ต
นั้นไปส่งยังหลายทาง
ในปี ค.ศ. 1965
มีการทดลองการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขึ้นเป็นครั้งแรกระหว่างมหาวิทยาลัย
MIT กับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
ผ่านทางสายโทรศัพท์และใช้หลักการแพ็กเก็ต
ความคิดทางด้านการรับส่งข้อมูลเป็นชิ้นเล็ก
ๆ แบบแพ็กเก็ตได้รับการยอมรับ
จนในที่สุดมีการพัฒนาจากแนวความคิดนี้ไปหลายแนวทาง
จนได้วิธีการรับส่งบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลากหลายรูปแบบ
ซึ่งเป็นจุดกำเนิดเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบต่าง
ๆ เช่น 25, TCP/IP, Frame Relay etc.
เมื่อมีการพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อเชื่อมโยงถึงกัน
ก็เกิดแนวคิดในการสร้างมาตรฐานที่จะทำให้ระบบการเชื่อมโยงมีลักษณะเปิดมากขึ้น
กล่าวคือ
การนำผลิตภัณฑ์หลากหลายยี่ห้อมาเชื่อมต่อกันได้
จึงมีวิธีการแบ่งระดับการสื่อสารออกมาเป็นชั้น
(Layer)
แต่ละขั้นจะมีการวางมาตรฐานกลางเพื่อให้การเชื่อมเครือข่ายที่แตกต่างกันสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้
LAN
ลักษณะการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ถึงกันทั้งหมด
จึงมีการแบ่งแยกเครือข่ายเป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายภายในพื้นที่ใกล้
ๆ กัน เรียกว่า LAN (Local Area Network)
และการเชื่อมโยงระยะไกล ที่เรียกว่า WAN (Wide
Area Network)
เครือข่าย LAN
เป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันในพื้นที่ใกล้เคียงกัน
เช่นอยู่ในอาคารเดียวกัน สามารถ
ดูแลได้เอง
การเชื่อมโยงเครือข่าย LAN
ที่นิยมใช้กันมี 2
รูปแบบดังนี้
เครือข่าย LAN
แบบอีเทอร์เน็ต
มีการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 10-100
Mbps.
มีพื้นฐานรูปแบบการเชื่อมโยงร่วมกันแบบบัส
คือ
ทุกอุปกรณ์จะเชื่อมต่อกันบนสายสัญญาณเส้นเดียว
ดังนั้นการรับส่งต้องมีการจัดการไม่ให้รับส่งพร้อมกันเกินกว่าหนึ่งคู่
ขบวนการรับส่งข้อมูลจึงถูกกำหนดขึ้น
โดยให้อุปกรณ์ที่จะส่งข้อมูลตรวจสอบว่ามีข้อมูลใดวิ่งอยู่บนสายหรือไม่
หากไม่มีจึงส่งได้
และถ้ามีการชนกันของข้อมูลบนสายก็จะส่งใหม่
การหลีกเลี่ยงการชนกันจึงกระทำได้ในเครือข่ายระยะใกล้
เครือข่าย LAN
แบบโทเก็นริง มีความเร็ว 16 Mbps.
เชื่อมต่อกันเป็นวงแหวนโดยแพ็กเก็ตข้อมูลจะวิ่งวนในทิศทางใดทางหนึ่ง
ถ้ามีแอดเดรสปลายทางเป็นของใคร
อุปกรณ์นั้นจะรับข้อมูลไป
การจัดการรับส่งข้อมูลในวงแหวนจึงเป็นไปอย่างมีระเบียบ
เครือข่าย LAN
ที่อยู่ในมาตรฐานเดียวกันสามารถเชื่อมโยงเข้าหากัน
แต่ทุกตัวจะมีแอดเดรสประจำ
และแอดเดรสเหล่านี้จะซ้ำกันไม่ได้
โดยปกติผู้ผลิตอุปกรณ์เชื่อมโยงเครือข่ายได้กำหนดแอดเดรสเหล่านี้มาให้แล้ว
เพื่อจะให้เชื่อมโยงเครือข่ายต่างมาตรฐานกันได้นั้น
มีวิธีการพัฒนาให้ระบบสามารถนำแพ็กเก็ต
เฉพาะของเครือข่ายมาใส่ในแพ็กเก็ตกลางที่เชื่อมโยงระหว่างกันได้
เช่น TCP/IP ตัวอย่าง เช่น
ถ้าต้องการเชื่อมเครือข่าย LAN หลาย ๆ
เครือข่ายเข้าด้วยกันให้เป็นเครือข่ายเดียวกัน
เครือข่ายอีเทอร์เน็ตมีแพ็กเก็ตเฉพาะเมื่อจะส่งออก
ก็นำแพ็กเก็ตเฉพาะมาเปลี่ยนถ่ายลงในแพ็กเก็ต TCP/IP
แล้วส่งต่อ.. แพ็กเก็ต TCP/IP
จึงเป็นแพ็กเก็ตกลางที่พร้อมรับแพ็กเก็ตย่อยอื่นได้
ดังนั้นการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย เช่น
อีเทอร์เน็ตในปัจจุบันจึงเกิดขึ้นได้
WAN
เครือข่าย WAN
เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกันในระยะทางที่ห่างไกล
อาจจะเป็นหลาย ๆ กิโลเมตร ดังนั้นความเร็วในการเชื่อมโยงระหว่างกันอาจไม่สูงมากนัก
เพราะระยะทางไกลทำให้มีสัญญาณรบกวนได้สูง
ความเร็วจึงอยู่ในระดับช่วง 9.6-64 Kbps และ 1.5-2
Mbps
ขึ้นอยู่กับแอพพลิเคชั่นและขนาดของข้อมูล
ทั้งเครือข่ายแบบ LAN
และ WAN ล้วนแล้วแต่ใช้หลักการของแพ็กเก็ตสวิตชิ่ง
กล่าวคือ
มีการกำหนดวิธีการรับส่งข้อมูลเป็นแพ็กเก็ต
โดยให้แต่ละอุปกรณ์มีแอดเดรสประจำ
วิธีการรับส่งมีได้หลากหลาย
เราเรียกวิธีการว่า "โปรโตคอล (Protocol)"
ดังนั้นจึงมีมาตรฐานการเชื่อมโยงระยะไกลมีการกำหนด
แอดเดรส
เช่นในเครือข่าย X.25
ข้อมูลจากที่หนึ่งส่งเป็นแพ็กเก็ตส่งต่อไปยังปลายทางได้
ข้อมูลเป็นแพ็กเก็ตจากจุดเริ่มต้น
มีแอดเดรสกำกับตำแหน่งปลายทางและตำแหน่งต้นทางแอดเดรส
เหล่านี้เป็นรหัสที่รับรู้ได้
อุปกรณ์สวิตช์จะเลือกทางส่งไปให้
หากมีปัญหาใดทำให้ปลายทางรับได้ไม่ถูกต้อง
เช่นมีสัญญาณรบกวน
ระบบจะมีการเรียกร้องให้ส่งให้ใหม่เพื่อว่าการรับส่งข้อมูลจะต้องถูกต้องเสมอ
ระบบการโต้ตอบเหล่านี้จึงเป็นมาตรฐานที่กำหนดของเครือข่ายนั้น
ๆ
PUBLIC
WAN
ดังนั้น เครือข่าย WAN
จึงเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างองค์กร
ระหว่างเมือง หรือระหว่างประเทศ และเพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพจึงมีองค์กรกลางหรือผู้ให้บริการเครือข่ายสาธารณะเข้ามาช่วยจัดการเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
เช่น
เครือข่ายสาธารณะที่ใช้ร่วมกันของทศท.
และกสท. หรือ เครือข่ายบริการ เช่น
ดาต้าเนต
เป็นต้น
เครือข่ายในปัจจุบันมีการเชื่อมเครือข่าย
LAN หลาย ๆ เครือข่ายย่อยเข้าด้วยกัน
จะเป็นอีเทอร์เน็ต หรือโทเก็นริงก็ได้
แล้วยังเชื่อมต่อออกจากองค์กรผ่านเครือข่าย
WAN
ทำให้เครือข่ายทั้งหมดเชื่อมโยงถึงกัน
จึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีเครือข่ายให้มีความเร็วสูงในการรับส่งข้อมูล
ซึ่งเครือข่าย WAN
ที่ใช้ตัวกลางเป็นเส้นใยแก้วนำแสง
(Fiber Optic)
สามารถส่งรับข้อมูลได้เร็วไม่น้อยกว่าเครือข่าย
LAN การพัฒนาเทคโนโลยีบนถนนเครือข่าย LAN และ
WAN จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
และเป็นโครงสร้างพื้นฐานของการพัฒนาประเทศ
ซึ่งจะไปได้ไกลเพียงใด
ขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของประเทศ
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ก็เป็นโครงสร้างพื้นฐานหนึ่งที่ต้องพัฒนาไปด้วย
คำว่า Information Super
Highway ก็คือถนนเครือข่าย WAN ที่เชื่อม LAN
ทุกเครือข่ายเข้าด้วยกันนั่นเอง
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น